ภาษีขายของออนไลน์ แม่ค้าออนไลน์ เข้าใจง่าย 3 นาที อัปเดต 2024
เมื่ออาชีพขายของออนไลน์ช่วยสร้างรายได้อย่างดี แถมไม่ต้องลาออกจากงานประจำก็ทำได้ อาชีพนี้จึงกลายเป็นอาชีพยอดนิยมของยุคนี้ และเมื่อเรามีรายได้เป็นของตัวเอง หน้าที่สำคัญที่จะลืมหรือเลี่ยงไม่ได้เลยนั่นก็คือ "หน้าที่การเสียภาษี" และ ปีนี้สรรพากรเริ่มเอาจริงเอาจังกับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่มีรายได้แต่ไม่ยื่นภาษีให้ถูกต้องกันแล้ว ฉะนั้น! วันนี้มาทำความเข้าใจเรื่องของภาษีกันว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลยค่ะ
สนใจตรงไหน เลือกอ่านได้เลย!
ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษีแบบไหน? ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษียังไง?
ทำความเข้าใจกันก่อนว่าการขายของออนไลน์นั้นหากไม่ได้มีการเปิดหรือจดทะเบียนในรูปแบบบริษัท จะถือเป็นการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่ง ถูกจัดอยู่ในเงินได้ประเภทที่ 8 หรือ ม.40 (8) คือเงินได้จากการค้าขาย และช่วงเวลาที่พ่อค้าแม่ค้าต้องยื่นภาษีจะมีอยู่ 2 ช่วงดังนี้ค่ะ
ยื่นภาษีสิ้นปี (ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90) ช่วงวันที่ 1 ม.ค. - 31 มี.ค. ของทุกปี เป็นการสรุปรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา (เช่น รายได้ในปี 2565 ต้องยื่นภายใน มี.ค. 2567)
ยืนภาษีกลางปี (ยื่นแบบ ภ.ง.ด.94) ช่วงวันที่ 1 ก.ค. - 30 ก.ย. ของทุกปี เป็นการสรุปรายได้ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีภาษีแรกที่ผ่านมา โดยที่ ค่าลดหย่อน บางรายการจะถูกหักเหลือครึ่งหนึ่งด้วย เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัวจะลดลงจาก 30,000 เหลือ 15,000
คำนวณภาษีอย่างไร?
สำหรับร้านค้าออนไลน์ ภาษีหลัก ๆ จะมีอยู่ 2 แบบ คือ เสียภาษีแบบอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และ เสียภาษีแบบนิติบุคคล (กรณีนี้สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่มีการจดทะเบียนเป็นบริษัท)
ซึ่งส่วนใหญ่ร้านค้าออนไลน์มักจะไม่ได้จดทะเบียนพาณิชย์ วันนี้พิมเพลินขอพูดถึงเฉพาะการคำนวณภาษีแบบบุคคลธรรมดาละกันค่ะ ซึ่งการคำนวณภาษีรายได้แบบบุคคลธรรมดานั้น สูตรคือ (รายได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี = ภาษีที่ต้องจ่าย จุดสำคัญอยู่ที่ ค่าใช้จ่าย และ ค่าลดหย่อน นั่นเองค่ะ
ข้อควรรู้ : กรณีที่พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ที่มีรายได้ (ย้ำนะคะว่ารายได้ ไม่ใช่กำไร) เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วยนะคะ ซึ่งกฎหมายจะบังคับให้พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท โดยปัจจุบันยังจัดเก็บอยู่ที่ 7% นั่นเองค่ะ
ศัพท์ภาษีน่ารู้ | รายได้สุทธิ หมายถึง รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย และ ค่าลดหย่อนต่างๆ | |||
---|---|---|---|---|
ค่าลดหย่อน หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่สรรพากรประกาศให้นำมาหักลบกับรายได้ | ||||
อัตราภาษี หมายถึง อัตราภาษีที่รัฐบาลประกาศ |
เงินได้สุทธิต่อปี | อัตราภาษี | |||
---|---|---|---|---|
0 - 150,000 | *ได้รับการยกเว้นภาษี* | |||
150,001 - 300,000 | 5% | |||
300,001 - 500,000 | 10% | |||
500,001 - 750,000 | 15% | |||
750,001 - 1,000,000 | 20% | |||
1,000,001 - 2,000,000 | 25% | |||
2,000,001 - 5,000,000 | 30% | |||
5,000,001 บาทขึ้นไป | 35% |
(รายได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) | x | อัตราภาษี | = | ภาษีที่ต้องจ่าย |
---|
(1,000,000 - 600,000 -60,000) | = | รายได้สุทธิ 340,000 บาท |
---|
เงินได้สุทธิต่อปี |
อัตราภาษี |
เทียบอัตรา |
ภาษีที่ต้องเสีย |
0 - 150,000 |
*ได้รับการยกเว้นภาษี* |
เงินบาทที่ 0 - 150,000 = ได้รับการยกเว้นภาษี |
ได้รับยกเว้น |
150,001 - 300,000 |
5% |
เงินบาทที่ 150,001 - 300,000 = เสียภาษี 5% |
7,500 บาท |
300,001 - 500,000 |
10% |
เงินบาทที่ 300,001 - 340,000 = เสียภาษี 10% |
4,000 บาท |
500,001 - 750,000 |
15% |
|
|
750,001 - 1,000,000 |
20% |
|
|
1,000,001 - 2,000,000 |
25% |
|
|
2,000,001 - 5,000,000 |
30% |
|
|
5,000,001 บาทขึ้นไป |
35% |
|
|
ภาษีที่นาย A ต้องเสียเท่ากับ 7,500 + 4,000 = 11,500 บาท
ทั้งนี้ภาษีจะเสียมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่าย และ ค่าลดหย่อนเนี่ยล่ะค่ะ เช็กข่าวสารกันให้ดี เพราะแต่ละปีสรรพากรประกาศค่าลดหย่อนไม่เท่ากันนะคะ อาจทำให้เราวางแผนผิดกันได้ค่ะ
แล้วปีนี้มีอะไรสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้บ้าง?
อย่างที่บอกไปค่ะว่า แต่ละปี สรรพากรจะประกาศลดหย่อนไม่เท่ากัน สำหรับของปี 2565 เพื่อยื่นภาษีในปี 2566 มีค่าใช้จ่ายอะไรที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้บ้างมาดูกันค่ะ
เงินได้สุทธิต่อปี | อัตราภาษี |
---|---|
กลุ่มค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว | |
ค่าลดหย่อนส่วนตัว | 60,000 บาท |
ค่าลดหย่อนคู่สมรส | 60,000 บาท |
ค่าลดหย่อนบุตร | คนละ 30,000 บาท |
ค่าลดหย่อนบิดา - มารดา | คนละ 30,000 บาท |
ค่าลดหย่อนผู้พิการหรือทุพพลภาพ | คนละ 60,000 บาท |
ค่าฝากครรภ์และทำคลอด | จ่ายตามจริงและไม่เกินท้องละ 60,000 บาท |
กลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุน | |
ประกันสังคม | 6,300 บาท |
เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป/เงินฝากแบบมีประกันชีวิต | ตามที่จ่ายจริงแต่รวมกันต้องไม่เกิน 100,000 บาท |
เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง | จ่ายตามจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันทั่วไปแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท |
เบี้ยประกันสุภาพบิดา - มารดา | จ่ายตามจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท |
เบี้ยประกันชีวิตบำนาญ | 15% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท |
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / กบข. / สงเคราะห์ครูฯ | 15% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท |
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) | 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท |
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) | 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท |
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช) | 13,200 บาท |
เงินลงทุนธุรกิจ social enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม) | จ่ายตามจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท |
กลุ่มลดหย่อนเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ | |
ดอกเบี้ยบ้าน | จ่ายตามจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท |
กลุ่มเงินบริจาค | |
เงินบริจาคพรรคการเมือง | จ่ายตามจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาท |
เงินบริจาคเพื่อการศึกษา/ กีฬา/ การพัฒนาสังคม และโรงพยาบาลรัฐ | 2 เท่าของเงินบริจาคตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน |
เงินบริจาคทั่วไป | ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน |
กลุ่มค่าลดหย่อนตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ | |
ช้อปดีมีคืน (1 ม.ค. - 15 ก.พ. 2565) | จ่ายตามจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท |
ข้อควรรู้!! : สำหรับค่าลดหย่อนกลุ่มประกัน เงินออม การลง ในส่วนของประกันชีวิตบำนาญ, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุน RMF, กองทุน SSF, กองทุนบำเน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนสงเคราะห์ครู,กองทุนออมแห่งชาติ ทั้งหมดนี้รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาทค่ะ
ช้อปดีมีคืน 2567 มีไหม? ใช้ลดหย่อนได้เมื่อไหร่?
มีแน่นอนค่ะ โดยโครงการ “ช้อปดีมีคืน ปี 2567 หรือ Easy e-Receipt” ที่จะนำไปใช้ลดหย่อนภาษีในปี 2568 จะสามารถใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2567 รวมทั้งสิ้น 46 วัน โดยสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท ซึ่งจะต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ e-Tax Invoice & e-Receipt เท่านั้น ค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : กระทรวงการคลัง และ itax.in.th
ข้อควรรู้เรื่องภาษีออนไลน์ "อีเพย์เมนต์ (e - Payment)"
แม่ค้าออนไลน์สงสัยกันใช่มั๊ยละคะว่า “แล้วสรรพากรจะรู้ได้ยังไงว่ามีการขายของออนไลน์เกิดขึ้น?” ตอนนี้มีกฎหมายออกมารองรับให้ทางสถาบันการเงินต้องมีการส่งข้อมูลการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกว่า “อีเพย์เมนต์ (e-Payment)” ที่เริ่มมีผลบังคับใช้จริงแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 63 ให้กับทางสรรพากรตรวจสอบ ซึ่งจะมีเงื่อนไขที่เข้าข่ายโดนสรรพากรตรวจสอบมีดังนี้ค่ะ
เมื่อมีการฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชี 3,000 ครั้งต่อปีขึ้นไป ไม่ว่ายอดรวมทั้งหมดจะกี่บาทก็ตาม
ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกัน 400 ครั้งขึ้นไป และมียอดเงินรวมกันเกิน 2 ล้านบาท
เงื่อนไขที่กล่าวมานี้ หากธนาคารพบว่าบัญชีใดเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งก็มีสิทธิ์ถูกตรวจสอบและทำการส่งข้อมูลให้ทางสรรพากรค่ะ แต่ถ้าคุณพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment) สามารถวาร์ปไปที่ ธนาคารจะส่งข้อมูลบัญชีแบบไหนให้กรมสรรพากรบ้าง? (ฉบับอัปเดทปี 2024) ได้เลยค่าา
โปรแกรมคำนวณภาษีออนไลน์
สำหรับใครที่อ่านมาเยอะแล้วก็ยังคงงงอยู่ดี ไม่ต้องกลัวค่ะ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีช่วยเราได้ เลิกกังวลแล้วมองหาตัวช่วยในการคำนวณภาษีได้ที่นี่เลยค่ะ แค่ใส่ตัวเลขก็คำนวณยอดภาษีออกมาให้เราได้เลย
1. RD Smart Tax
เป็นแอพสำหรับมือถือมีให้ใช้ทั้ง iOS และ Android หาดาวโหลดเอามาคำนวณกันได้เลย
2. เว็บไซต์ของธนาคาร
ถ้ากังวลเรื่องความปลอดภัยการใช้โปรแกรมหรือแอพบนมือถือล่ะก็ เว็บของธนาคารก็มีไว้รองรับและช่วย พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ ในการคำนวณภาษีเช่นกันค่ะ
3. iTAX Pro
โปรแกรมสุดท้ายสำหรับช่วยคำนวณภาษีกับ iTAX Pro โปรแกรมนี้มีให้ใช้ทั้งบนคอมฯ และมือถือ แอพหน้าตาสวยงามดูง่าย กรอกตัวเลขเป็นขั้นตอนชัดเจน ไม่งงงวยเหมือนเวลาเรากรอกในเว็ปสรรพากรแน่นอน ลองโหลดนำไปคำนวณภาษีกันได้เลยจ้า มีให้ใช้ทั้ง iOS และ Android เช่นกัน
การเสียภาษีถือเป็นหน้าที่ของผู้มีรายได้ เราผู้เป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์ก็ถือว่าเป็นผู้มีรายได้เช่นกัน เพราะหากเราไม่ทำการยื่นภาษี เราจะโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง แถมยังต้องเสียค่าปรับอีกด้วย ทางที่ดีทำให้ถูกต้องตามกฎหมายไว้ก่อน สบายใจกว่ากันเยอะค่ะ
หากคุณสนใจใช้งาน Page365 คุณสามารถ สมัครใช้งานฟรี
หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เริ่มต้นกับ Page365 หรือ ทำไมเราถึงฟรี?